ข่าว ศิลป วัฒนธรรม (เพลง)



สวัสดีจ้าพี่ๆน้องๆ

วันนี้ออมจะมาให้ความรู้

เกี่ยวกับด้านบทเพลงต่างๆนะจ๊ะ

อยากรู้หรือยังเอ๋ย...ตามมาเลยนะ

อืม...เราจะเริ่มจากเพลงหน้าพาทย์ก่อนนะ



ตามความหมายในหนังสือ สารานุกรมศัพท์ดนตรีไทย ภาคคีตะ-ดุริยางค์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2540 : 114-116) กล่าวว่า

เพลงประเภทหนึ่งที่ใช้บรรเลงในการแสดงกิริยาของมนุษย์ สัตว์ วัตถุ หรือธรรมชาติ ทั้งกิริยาที่มีตัวตน กิริยาสมมติ กิริยาที่เป็นปัจจุบัน และกิริยาที่เป็นอดีต เช่น บรรเลงในการแสดงกิริยา ยืน เดิน กิน นอน ของมนุษย์และสัตว์ การเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นหรือสูญไปของวัตถุและธรรมชาติ

การบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ในการแสดงกิริยาที่เป็นปัจจุบัน มีทั้งกิริยาที่มีตัวตนและกิริยาสมมติ การบรรเลงในการแสดงกิริยาที่มีตัวตน เช่น บรรเลงเพลงคุกพาทย์ เมื่อโขนตัวหนุมานรำทำท่าทางแผลงอิทธิฤทธิ์หาวเป็นดาวเป็นเดือน การบรรเลงในการแสดงกิริยาสมมติ เช่น บรรเลงเพลงเสมอในการแสดงกิริยาของพระลักษมณ์ที่เสด็จออกจากที่เฝ้าเข้าสู่ห้องสรง แม้จะไม่มีตัวพระลักษมณ์ออกมารำจริงๆ หรือในการไหว้ครูโขน-ละคร และดนตรี ขณะที่ผู้เป็นประธานกล่าว โองการเชิญเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง เป็นต้นว่าพระประคนธรรพ เมื่อกล่าวจบก็บอกให้ปี่พาทย์บรรเลงเพลงตระประคนธรรพ เพลงตระประคนธรรพที่ปี่พาทย์บรรเลงจึงสมมติว่า เป็นการแสดงกิริยาที่พระประคนธรรพเสด็จมาในขณะนั้น

การบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ในการแสดงกิริยาที่เป็นอดีต มีแต่กิริยาสมมติ เช่น การบรรเลงปี่พาทย์ประกอบการเทศนามหาเวสสันดรชาดก หรือเทศน์มหาชาติ ตามประเพณีเมื่อพระเทศน์จบลงกัณฑ์หนึ่งๆ ปี่พาทย์จะต้องบรรเลงเพลงตามกิริยาของท้องเรื่องในกัณฑ์ที่จบลงนั้น เช่น กัณฑ์กุมาร ปี่พาทย์จะต้องบรรเลงเพลงเชิดฉิ่งโอด (คือเพลงเชิดฉิ่งกับโอดสลับกัน) ซึ่งแสดงกิริยาของพระกุมารชาลี กับกัณหาที่ถูกชูชกบังคับให้เดิน โดยเฆี่ยนตีขู่เข็ญไปตลอดทาง พระกุมารทั้ง 2 ก็วิ่งบ้าง เดินบ้าง ร้องไห้บ้าง ตามเนื้อเรื่องที่พระได้เทศน์จบไปแล้วนั้น

นอกจากนี้ยังมีการบรรเลงเพลงหน้าพาทย์แสดงการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ เช่น บรรเลงเพลงไส้ตอนดอกบัวลอยน้ำ บรรเลงเพลงรัวตอนภูเขาระเบิด

เพลงหน้าพาทย์มีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ที่เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงคือ ตะโพน และกลองทัด กล่าวคือ เพลงใดที่มีตะโพนและกลองทัดบรรเลงควบคู่กัน ถือว่าเป็นเพลงหน้าพาทย์ทั้งสิ้น

เพลงหน้าพาทย์แบ่งระดับความสำคัญออกได้เป็น 3 ระดับ คือ
1. เพลงหน้าพาทย์ธรรมดา ใช้กับตัวละครชั้นสามัญทั่วไปที่ไม่มีความสำคัญมากนัก เช่น เพลงเสมอ
2. เพลงหน้าพาทย์ชั้นกลาง ใช้กับตัวละครที่มีความสำคัญมากขึ้น เช่น เพลงเสมอข้ามสมุทร เพลงเสมอเถร เพลงเสมอมาร
3. เพลงหน้าพาทย์ชั้นสูง ใช้กับตัวละครที่สูงศักดิ์ เช่น เพลงบาทสกุณี (เสมอตีนนก) เพลงดำเนินพราหมณ์

การเรียกเพลงประเภทนี้ว่า "หน้าพาทย์" น่าจะมาจากศิลปินฝ่ายโขนละครเป็นผู้เรียกก่อน เพราะการร่ายรำเข้ากับเพลงประเภทนี้ ผู้รำจะต้องยึดถือจังหวะทำนองเพลง หน้าทับ และไม้กลองของเพลงเป็นสิ่งสำคัญ ต้องรำให้มีทีท่าเข้ากันสนิทกับทำนองและจังหวะ ต้องมีความสั้นยาวพอดีกับเพลง ต้องถือว่าเพลงที่บรรเลงเป็นหลัก เป็นหัวหน้า เป็นสิ่งที่จะต้องรำตาม เมื่อผู้รำต้องการจะหยุดหรือเปลี่ยนเพลง ก็ต้องให้พอเหมาะกับประโยค หรือหน้าทับ หรือไม้กลองของเพลง จะรำป้องหน้าหรือเปลี่ยนไปตามความพอใจไม่ได้ จึงเรียกเพลงประเภทนี้ว่า "เพลงหน้าพาทย์" และเรียกการรำนี้ว่า "รำหน้าพาทย์"


เป็นไงกันบ้างเอย

ได้ความรู้รึเป่า

555+ (สงสัยจะได้เนอะ??)

ขอขอบคุณทุกๆคนมากๆ

ที่ได้เข้ามาอ่านเพื่อได้ความรู้เกี่ยวกับเพลงหน้าพายท์

เดี๋ยววันหน้าจะมีการรำถวายมือมาให้อ่านนะจ๊ะ

จุ๊บ จุ๊บ .....



ชมแล้ว [ 2389 ] 01 มิ.ย. 52 18:35 โดย sweety


กลับหน้าบทความ